Q : การฉีดวิตามินผิวใส อันตรายไหม ?
A : การฉีดวิตามินผิว อันตรายไหม? ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างมากในคนที่อยากฉีดเติมวิตามินให้ผิวขาวใส ก็คือ อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการไปฉีดวิตามินผิวที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือยาดังกล่าวยังไม่ผ่านการขึ้นทะเบียนกับ อย. ซึ่งการฉีดยาเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเส้นเลือดดำโดยตรงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงและอาการแพ้ได้ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลยหากเลือกสถานพยาบาลที่ปลอดภัย ได้มาตรฐาน

Q : ฉีดวิตามินผิวใส ดีไหม ?
A : การฉีดวิตามินผิวใสด้วยตัวยาในกลุ่มวิตามินซีได้รับความนิยมเป็นอย่างมากโดยเฉพาะในเรื่องความขาวใสของผิว ความขาวที่ได้รับหลังการฉีดวิตามินซีเข้าไปสามารถเป็นไปได้จริง ด้วยหลักการทำงานของวิตามินซีที่ส่วนช่วยลดการเกิดขึ้นของเม็ดสีเมลานิน แก้ปัญหาจุดด่างดำ เมื่อได้รับปริมาณวิตามินอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้ผิวดูขาวมากขึ้นกว่าผิวเดิม

Q : ฉีดวิตามินผิวแล้วดูกระจ่างใสขึ้นจริงไหม ?
A: ส่วนประกอบของ Vit C, Vit B, NAC, Amino, Antioxidant หรือ Collagen ล้วนเป็นสารที่ให้ประโยชน์กับผิวของเรา โดยที่ NAC (N-Acetyl Cysteine) เป็นโครงสร้างที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพและช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์ Glutathione ออกมาตามธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระได้อีกด้วย ซึ่งการฉีดสารต่างๆ เหล่านี้ จะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปตามปัญหาและสภาพผิวของแต่ละบุคคล จุดเด่น คือ จะช่วยสร้างคอลลาเจนและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว ช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ปกป้องผิวทำให้เซลล์แข็งแรง เมื่อเซลล์แข็งแรง ผิวก็จะมีคุณภาพดีขึ้นจากภายในสู่ภายนอก ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล การฉีดวิตามินผิวจะช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น

Q : ฉีดวิตามินผิวกี่ครั้งเห็นผล ?
A : ในการฉีดวิตามินผิวใส กระตุ้นผิวให้แลดูเปล่งปลั่ง จะมีสารบางตัวที่สามารถเปลี่ยนสีผิวเราให้ดูขาวกระจ่างใสขึ้น เป็นสารจำพวกวิตามินซี กลุ่มสารที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสี และสารต้านอนุมูลอิสระ ระยะเวลาที่จะเห็นผลอยู่ที่ประมาณ 3 สัปดาห์ แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความถี่ในการฉีด ในช่วงแรกอาจจะฉีดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เมื่อผิวเริ่มมีสุขภาพดีขึ้นแล้วก็สามารถทิ้งช่วงได้เป็นเดือนละ 1 ครั้งก็ได้ แต่หากอยากรักษาผลลัพธ์ไว้ ควรมาฉีดอย่างต่อเนื่อง

Q : เมโสหน้าใสทำครั้งเดียวเห็นผลเลยไหม ?
A : เห็นผลเลยค่ะ ภายใน3-5 วัน
ปกติจะเริ่มเห็นผลประมาณ 3 วันหลังฉีด และเห็นผลเต็มที่ประมาณ 5-7 วัน แนะนำให้ฉีดสัปดาห์ละครั้ง ในช่วง 1 เดือนแรก หลังจากนั้นฉีดทุกๆ 2-3 สัปดาห์

Q : เมโสหน้าใส ทำแล้วออกแดดได้ไหม ?
A : ออกได้ค่ะแต่ก็ควรทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ
เมโสไม่ได้ทำให้ผิวบางลงเหมือนกับการทำเลเซอร์ที่ทำลายชั้นหน้าผิว ดังนั้นไม่ถึงกับต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เจอแดดเลย ประเทศไทยหลีกเลี่ยงได้ยาก แต่ควรทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงแดดจัดๆ เพราะเป็นการทำร้ายผิว และทำให้เกิดรอยฝ้า กระ และก่อให้เกิดผิวคล้ำเสีย

Q : เมโสลดฝ้ากระ ลดจุดด่างดำ ได้ไหม ?
A : ในกรณีฝ้า สามารถใช้เมโส เพื่อชะลอการกระจายของฝ้า และ ช่วยให้ฝ้าจางลงได้
การทำเมธาช่วยชะลอฝ้ากระ ลดจุดด่างดำ ได้ทั้งหมด ทั้งนี้ก่อนการทำจะต้องให้แพทย์เป็นผู้ประเมินว่าแต่ละคนจะเหมาะกับเมโสสูตรไหน

Q : โบท็อกซ์ ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?
A : 1. ลดขนาดกล้ามเนื้อให้เล็กลง
– ลดขนาดกรามให้ใบหน้าดูเรียวเล็กขึ้น
– ลดขนาดน่องให้ขาเรียวยาวสวย
– ลดขนาดปีกจมูกให้เล็กลงเห็นสันแกนจมูกชัดเจนขึ้น
2. คลายขนาดกล้ามเนื้อที่หดตัวให้เรียบตึงขึ้น
– รอยย่นบริเวณหน้าผาก ตีนกา หางตา ระหว่างคิ้ว
3. ลิฟท์กรอบหน้า
– ยกกระชับใบหน้า ไม่ให้หย่อนคล้อย
– ช่วยให้กรอบหน้าชัดเจนยิ่งขึ้น
4. ฉีดใต้วงแขน รักแร้
– ช่วยลดการทำงานของต่อมเหงื่อ ทำให้เหงื่อออกน้อยลง
– ระงับกลิ่นกายได้อีกด้วย
5. รักษาโรคไมเกรนเรื้อรัง
– ระงับอาการปวดให้น้อยลง
– ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการผ่อนคลาย
6. รักษาอาการตากระตุก
– ทำให้กล้ามเนื้อหยุดทำงานชั่วขณะ ช่วยลดอาการตากระตุกได้

Q : ฉีดโบท็อกซ์ กี่วันถึงจะเห็นผล ?
A : 1. โบท็อกซ์ ลดริ้วรอย จะเห็นผลลัพธ์ที่ 2 สัปดาห์ โดยหลังฉีดไป 3 วันจะเริ่มรู้สึกตึงบริเวณที่ฉีด
2. โบท็อกซ์ ลดกราม ลดน่อง จะเห็นผลลัพธ์ที่ 1 เดือน โดยจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงในสัปดาห์ที่ 2 ขึ้นอยู่กับกล้ามเนื้อของแต่ละบุคคล
3. โบท็อกซ์รักแร้ ลดกลิ่นกาย จะเห็นผลลัพธ์ที่ 1 เดือน

Q : ฉีดโบท็อกซ์ อยู่ได้นานแค่ไหน ?
A : ผลลัพธ์ของการฉีดโบท็อกซ์จะไม่ได้อยู่อย่างถาวร ซึ่งปกติแล้วโบท็อกซ์จะอยู่ได้นาน 4-8 เดือน โดยอายุการออกฤทธิ์ของโบท็อกซ์นั้นขึ้นอยู่กับยี่ห้อของโบท็อกซ์ และ ตำแหน่งที่ฉีด

Q : Mesofat อันตรายไหม?
A : Mesofat ไม่อันตรายค่ะ ตัวยาปลอดภัย ตัวยาสกัดจากธรรมชาติ ไม่มี Steroid

Q : ข้อห้ามในการทำ Mesofat
A :
• สตรีมีครรภ์
• คนไข้โรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ
• คนไข้ที่มีประวัติโรคระบบหลอดเลือดผิดปกติในสมอง เช่น เส้นเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน
• คนไข้ที่มีประวัติโรคเลือดผิดปกติ โรคมะเร็ง
• คนไข้ที่มีประวัติโรคหัวใจ และทำการรักษาด้วยยาหลายขนาน

Q : หลังทำ Mesofat ควรทำอย่างไร
A : ควรดื่มน้ำวันละอย่างน้อย 2 ลิตร เพราะไขมันเหลวที่โดนสลายด้วยการฉีด Mesofat จะถูกขับออกทางปัสสาวะเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยขับไขมันส่วนเกินที่สลายให้ออกจากร่างกายได้มากขึ้น ช่วงที่เว้นการฉีด Mesofat แนะนำให้ทำเลเซอร์กลุ่ม rf เพื่อช่วยรีดไขมันให้ออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น อาจจะพบอาการบวมช้ำในบางราย หรืออาการเจ็บปวดบ้างเล็กน้อย ขณะที่ทำและหลังทำ ประมาณ1-3 วัน

Q : หลังทำ mesofat กี่วันเห็นผล
A : หลังทำเมโสแฟต ไขมันใต้ผิวที่แก้มมีการสลายตัวไปเรื่อยๆ และจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นตั้งแต่วันที่ 3 เป็นต้นไปหลังรับการรักษา และจะเห็นผลสูงสุดในวันที่ 7 -14 วันหลังรับการรักษา

Q : ถ้าหยุดทำแล้วจะเป็นอย่างไร จะกลับมามีไขมันคงเดิมไหม
A : เนื่องจากการทำเมโสแฟต เป็นการสลายเซลล์ไขมันด้วยตัวยา ซึ่งเซลล์ไขมันจะหายไปหลังตัวยาออกฤทธิ์ ดังนั้นแก้มจึงลดลงและแม้หลังหยุดทำการรักษาไปแล้ว เซลล์แฟตเดิมที่โดนสลายไปจะไม่กลับมา ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของคนไข้ด้วยนะคะ มีการควบคุมอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

ตำแหน่งการฉีดฟิลเลอร์
• ใต้ตา แก้ปัญหาใต้ตาลึก ช่วยให้ดูตื้นขึ้น ดวงตาสดใส ไม่หมองคล้ำ
• ขมับ เติมเต็มขมับตอบให้อิ่มเต็มยิ่งขึ้น ช่วยให้ใบหน้าไม่โทรมและดูเด็กขึ้น
• ร่องแก้ม ช่วยให้ร่องแก้มลึกดูตื้นขึ้น ทำให้ใบหน้าดูเด็กลงอย่างเห็นได้ชัด
• แก้มส้ม ช่วยเติมเต็มให้ใบหน้าเอิบอิ่ม อ่อนเยาว์ ใบหน้าหวานละมุน และมีมิติขึ้น
• คาง แก้ปัญหาคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม เมื่อฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มให้คางได้รูปสวยงาม
• จุดสุดท้ายที่เป็นที่นิยมสุดๆก็คือ ปาก เพราะจะช่วยให้ปากดูอวบอิ่มน่าจุ๊บยิ่งขึ้น

Q : HA Filler คืออะไร? มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง?
A : Filler คือเทคนิคการฉีดเติมผิวด้วยสารไฮยารูโรนิก แอซิด( Hyaluronic Acid ) หรือเรียกสั้นๆว่า HA เป็นสารเติมเต็มที่ได้รับรองมาตรฐานความปลอดภัยทั่วโลก

Q : Hyaluronic Acid ทำหน้าที่อย่างไร?
A : จะช่วยในการกักเก็บน้ำของชั้นใต้ผิวที่ได้รับการแก้ไขเติมเต็มช่องว่างให้กับฉันเซลล์ผิวหนังให้ผิวมีความยืดหยุ่นเต่งตึงผิวเรียบเสมอกันใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลงอย่างชัดเจนและจะสลายตัวไปเองตามธรรมชาติไม่เกิดการตกค้าง

Q : HA Filler ปลอดภัยไหม?
A : ปลอดภัยมากเพราะสาร hyaluronic acid เหมือนกับ HA ตามธรรมชาติที่มีในชั้นผิวคนเราอยู่แล้ว

Q : ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน
A : สามารถอยู่ได้นานประมาณ 8เดือน – 2 ปีขึ้นอยู่กับแต่ละบริเวณที่ฉีดแล้วจึงค่อยค่อยสลายไป

Q : ฉีด Filler บริเวณไหนได้บ้าง
A : สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้ทุกบริเวณของผิวที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอย ร่องลึก รวมถึงการปรับรูปหน้า เช่น เติมเต็มร่องริ้วรอยใต้ตา เติมร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก เติมเต็มหลุมสิวแผลเป็น เติมแก้มตอบ เติมขมับตอบ ยกกระชับปรับรูปหน้า เติมริมฝีปากอวบอิ่ม ปรับรูปคาง